ปี 2010 คือปีที่ษิเริ่มเรียนโยคะและเรียนคอร์สครูโยคะในปีเดียวกัน ด้วยความเป็นมือใหม่ ทั้งการฝึก และการสอน ษิยังไม่เข้าใจแก่นของโยคะว่าฝึกไปทำไมกัน นอกจากได้ออกกำลังกายก็เท่านั้นบวกกับความเข้าใจว่า ถ้าทำท่ายากได้แปลว่าเราเป็นครูที่ดีเป็นมือโปร เป็นครูที่เก่งแน่นอน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในช่วงเริ่มต้นเส้นทางสายนี้ษิสรรหาท่ายากๆท่าแปลกๆ มาสอนนักเรียนทุกวันไม่ซ้ำกันซักคลาส เท่านั้นยังไม่พอยังหาเพลงมาเปิดไปดูยูทูปวีดีโอครูคนอื่นๆเอาท่าแปลก และท่าที่คิดว่าเท่ห์มาสอนหรือแม้กระทั่งลงทุนไปเรียนเต้นระบำหน้าท้อง (เล่าแล้วยังขำมาจนถึงทุกวันนี้ว่าทำไปด้ายย) เพื่อเอามาสอนในคลาสอีกด้วยโดยที่ไม่ได้เข้าใจเลยว่าแก่นของการฝึกโยคะคืออะไร?
เพราะพยายามทำให้ตัวเองรู้สึกเก่งให้มากพอแต่ยิ่งทำก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเก่งไม่พอสักที จนแอบไปได้ยินนักเรียนบอกกับเจ้าของสตูดิโอว่าถ้า
วันไหนมีคลาสที่ษิสอน ขอไม่เข้าแล้วกันนะ
เท่านั้นแหละค่ะ ตาสว่างเลยว่าไอ้ที่พยายามทำมามันไม่ได้ทำให้นักเรียนรู้สึกดีเลยสักนิด ไม่ว่าจะเป็นท่ายาก ซีเควนซ์เท่ห์ๆ กับเพลงจังหวะเร็วๆของเรามันไม่ใช่สิ่งที่นักเรียนเขาต้องการเลย ตอนนั้นสัญญาณากับตัวเองเลยว่าถ้าเรียนจบเมื่อไหร่จะเลิกสอนโยคะเป็นงานเสริมแล้วนะ เพราะไม่ชอบความรู้สึกนี้เลย ที่เราอุตสาห์พยายามทำดีที่สุดแล้ว คนกลับไม่เห็นค่า แต่ตอนนั้นก็ไม่รู้หรอกค่ะว่ามันไม่ใช่เพราะเขาไม่เห็นค่า แต่ที่เราสอน มันแค่ไม่ใช่ทางของโยคะที่แท้จริงเท่านั้นเอง
ษิเรียนจบแล้วก็ไปทำงานในบริษัทห่างหายจากการสอนไปจริงๆ เกือบ 2 ปี จนลาออกจากงานและกลับมาอยู่ที่บ้านเลยตัดสินใจลองสอนโยคะดูอีกครั้งเพราะอยากดูแลสุขภาพตัวเองที่แย่ลงในตอนนั้นด้วย แต่ว่าที่บ้านมีที่จำกัดสามารถรับนักเรียนได้ไม่เกิน 3 คน ก็เลยต้องลองเปิดสอนแบบไพรเวทก่อน กลายเป็นว่าพอได้สอนแบบ 1 ต่อ 1 ษิกลับค้นพบว่าเราชอบบรรยากาศแบบนี้แฮะ บรรยากาศที่เราได้มีเวลาอธิบายท่าต่างๆ แบบลงรายละเอียดได้ใช้เวลาเอาใจใส่คนๆหนึ่งตรงหน้าได้เต็มที่และนักเรียนก็ดูจะสบายใจ กล้าเล่า กล้าบอกปัญหาสุขภาพของเขาให้เราฟัง และได้ลองฝึกโยคะในแนวทางที่เหมาะกับร่างกายของเขาได้ฝึกการหายใจที่เป็นไปตามจังหวะของนักเรียนแต่ละคนจริงๆ โดยที่แทบไม่ได้ไปแตะท่ายาก หรือท่าพิศดารอะไรอีกเลย
จุดนี้เองทำให้ษิรู้ว่าจริงๆ แล้วแก่นของโยคะคือการใช้ท่าอาสานะ การฝึกลมหายใจเพื่อพากาย และใจมาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อให้แต่ละคนได้รู้สึกถึงความสุข สว่าง และเบาจากข้างในนี้เอง ไม่ใช่การทำท่ายาก ที่หายใจได้ลำบากหรือการทรมานร่างกายให้ทำท่าได้อ่อนช้อยจนต้องเจ็บตัวทีหลังอย่างที่เคยเข้าใจมาในช่วงการฝึกสอนขวบปีแรก
นี้สินะ หัวใจของโยคะที่เราไม่เคยเข้าใจมาก่อน
เราเลยหลงทางและไม่ชอบถึงขั้นเกลียดการสอนโยคะเลยทีเดียวในตอนนั้น
แต่หลังจากที่ได้ค้นพบเรื่องนี้ษิหลงรักการสอนโยคะอย่างไม่ต้องสงสัยและนำแก่นของโยคะที่หลงรักนี้
มาใส่ไว้ในทุกๆ การสอนของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นคอร์สครูโยคะหรือว่าคอร์สโยคะพื้นฐานเพื่อผู้หญิงก็ตาม
Comments